เป็นการพูดคุยด้วยเหตุด้วยผล เป็นสิ่งที่น่าสนใจที่จะตอบด้วยเหตุและผล สำหรับ คุณ nu-lek ซึ่งผมคิดว่า น่าจะมีประโยชน์บ้างสำหรับคนที่ได้อ่าน
(สำหรับห้องนั่งเล่น ที่อาจจะมีกระทู้ที่แตกต่างออกไปบ้าง)สำหรับประเด็นนี้ เป็นการแสดงความเห็นแบบภาพใหญ่ เปรียบเทียบ ได้กับประเด็น Hot เช่น การรับจำนำข้าว ซึ่งมีมุมมองที่แตกต่างกันในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับพื้นฐาน และประสบการณ์ของผู้วิจารณ์แต่ละคน
เริ่มจากสิ่งที่ได้เห็นของ จขกท. ที่เข้าเว็บไซด์ต่าง ๆ ที่มีการให้บริการจากน้อง ๆผู้หญิงทั้งหลาย (ในที่นี้พูดถึงเฉพาะผู้หญิง) พบว่า อาชีพนี้มีการแข่งขันสูง รายได้จะขึ้นอยู่กับ หน้าตา รูปร่าง การพูดจาสื่อสาร การบริการ เป็นต้น ซึ่งพบว่านอกจากการแข่งขันแล้ว ยังมีความเสี่ยง และไม่ยั่งยืนในขณะเดียวกัน ยังพบว่า มีน้องอีกหลายคนที่ขายบริการ และยังทำอาชีพในการรับสินค้ามา และนำไปขาย ตามช่องทางต่าง ๆโดยเฉพาะในเว็บไซด์ต่าง ๆ ซึ่งมีหลายคนประสบความสำเร็จ และหลายคนล้มเหลว สำหรับคนที่ประสบความสำเร็จ ก็เลิกขายบริการ สำหรับคนที่ล้มเหลว เมื่อเดือดร้อน ก็กลับมาขายบริการใหม่
(การขายบริการในที่นี้ ผมหมายถึง ทั้งเพื่อนเที่ยว และเพื่อนไปต่อ)
ผมเข้าใจประเด็นที่น้อง nu-lek อธิบาย และข้อสงสัยต่าง ๆได้ดี เพราะเป็นประเด็นปกติทั่วไปของคนที่ยังไม่มีประสบการณ์ตรง หรือมีแต่ใกล้เคียง จึงเป็นข้อสงสัยปกติทั่วไปอธิบายอย่างง่ายแบ่งเป็น 2 กลุ่ม
กลุ่มที่ 1 คือ กลุ่มที่มีประสบการณ์ตรงในการขายสินค้า (ซึ่งส่วนใหญ่ที่ผมรู้จัก ที่เป็น มักจะขายของผ่าน Social Midia) 1. สินค้าส่วนใหญ่ที่ขาย อันดับแรกเลยคือ เสื้อผ้า หรือสินค้าแฟชั่น รองลงมาคือ สินค้าเกี่ยวกับความสวยงาม เช่น เครื่องสำอาง เป็นต้น
2. ส่วนใหญ่ 100 ละ 90 มักจะไปซื้อสินค้า จากแพทตินั่ม หรือสำเพ็ง และนำมาปรับปรุงให้สวยงาม ใน page ของตัวเอง
3. การขายส่วนใหญ่มักไม่มีสต็อกสินค้ามาก เมื่อลูกค้าต้องการ ก็ไปหาซื้อมาและนำส่งให้ลูกค้าทางไปรษณีย์
4. เพราะฉะนั้นการขายได้หรือไม่ได้ จึงอยู่ที่การนำเสนอใน page และวิธีของแต่ละคน
5. สำหรับคนกลุ่มนี้ ไม่ต้องแนะนำมากเรื่องการขายสินค้า
6. จึงแนะนำให้ลดต้นทุน และมองหาสินค้าใหม่ ๆ (สินค้าที่ตัวเองขายอยู่แล้ว) ที่ไม่ซ้ำใคร และสามารถหาซื้อได้ในจำนวนที่ไม่มาก เหมือนไปเดินที่แพทตินั่ม (สำหรับในส่วนนี้หากใครสงสัย คงต้องลองติดต่อไปตามที่ผมได้แนะนำไว้ และจึงจะรู้ว่า จริงหรือไม่จริง) ซึ่งจะทำให้มีโอกาสขายได้มากกว่าคนอื่น
7. เงินทุนที่ใช้ ก็คงเป็นทุนเดิมที่มีอยู่แล้ว ตามปกติที่ทำอยู่
8. สำหรับกลุ่มนี้ จึงไม่มีปัญหา ขึ้นอยู่กับว่า จะลองดูหรือไม่เท่านั้น
กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มที่ไม่มีประสบการณ์ตรงในการขายสินค้าหรือมีแต่ไม่มาก
1. หากลองสำรวจกันจริง ๆจะพบว่า น้องที่มาให้บริการเป็นเพื่อนในเว็บต่าง ๆ ส่วนใหญ่ น่าจะยังเป็นอยู่
2. คำแนะนำของผมสำหรับกลุ่มนี้ จะเหมาะสมกับน้อง ที่มีความกล้า และมองเห็นว่ามีโอกาส และหรือ อาจจะเคยเห็นเพื่อน ๆหลายคน ทำหรือขายสินค้าในเว็บอยู่ และตนเองก็อยากทำ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ทำเนื่องจากติดขัดหลายประการ
3. หากไม่สามารถผ่านจุดที่ผมกำลังจะอธิบายต่อไป ก็คงจะไม่สามารถเดินต่อได้ คือ
3.1 เดือดร้อนจริงหรือเปล่า
3.2 รักงานสบายหรือเปล่า
3.3 มีความกังวล ว่าตัวเองทำไม่ได้หรือเปล่า
4. สิ่งที่ผมกล่าวมาตั้งแต่แรก (กระทู้แรก ๆ) ต้องเริ่มต้นที่ใจก่อน ว่า “จะลองมั้ย” และหากคำตอบคือ “น่าลอง” งั้นเราเริ่มต้นคิดกันต่อ
4.1 SWOT ที่น้องพูดถึง จริง ๆแล้วผมได้อธิบายเป็นคำพูดง่าย ๆไว้แล้วคือ
4.1.1 จุดแข็ง ของเราคืออะไร การจะขายของอะไรสักอย่างหนึ่ง อะไรคือจุดแข็งของเรา เช่น
- เราเป็นคนที่พื้นฐานของการศึกษาที่ดี มากกว่าหลาย ๆคนที่ขายของอยู่ทั่วไป
- เรามีเพื่อนฝูง ที่สามารถขอความช่วยเหลือได้
- เราใช้ Social Media เป็น
- ฯลฯ
4.1.2 จุดอ่อน ของเราคืออะไร เช่น
- เราขาดประสบการณ์
- เราขาดเงินทุน
- เราพูดภาษาต่างประเทศไม่คล่อง
- เราขาดคนช่วยเหลือ
4.1.3 โอกาส ของเราคืออะไร เช่น
- ปัจจุบัน โลกแคบลง ด้วย
- การติดต่อสื่อสาร สะดวก ง่าย ราคาถูก
- มีผู้กระทำแทนเรา ในสิ่งที่เราทำไม่ได้
- มีช่องทางที่เปิดมากขึ้น ให้คนที่ไม่มีเงินทุนมากพอ สามารถเติบโตได้
4.1.4 อุปสรรค ของเราคืออะไร เช่น
- คู่แข่ง
- ความเสี่ยง
- กำลังใจ
- ความกลัว
- ฯลฯ
5. เมื่อวิเคราะห์ SWOT เราคงต้องมาวิเคราะห์ Five Force Model ต่ออีกนิด ง่าย ๆ ก็คือ อำนาจต่อรองต่าง ๆของสินค้า ลูกค้า คู่แข่งเดิม ใหม่ รวมทั้งสินค้าทดแทน เป็นต้น ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ผมได้อธิบายง่าย ๆในการปฏิบัติได้จริง โดยไม่ต้องอิงทฤษฎีมากคือ “การเดิน และสำรวจตลาด” ซึ่งจะนำมาซึ่งคำตอบที่เรากำลังค้นหาให้ตัวเองได้ หากคำตอบคือ “เราไม่รู้ หาไม่เจอ” ก็คือ จบ แต่หากคำตอบเราสามารถค้นพบช่องของเรา คำแนะนำของผมคือ โอกาส
6. ที่นี้เรามาดูในข้อสงสัยของ nu-lek ในประเด็นต่าง ๆ ซึ่งผมตอบง่าย ๆรวมประเด็นที่สำคัญให้ nu-lek ลองไปคิดดู (ในสิ่งที่ nu-lek อธิบายมาต่าง ๆนา ๆ คือสิ่งที่เป็นอุปสรรคให้ไม่สามารถทำได้ ซึ่งเป็นคำตอบสุดท้ายคือ ทำไม่ได้ ไม่เหมาะกับเรา เป็นต้น) คำตอบที่เป็นคำถามกลับคือ “ทำไมถึงมีมากมาย ที่สามารถออกมาขายของตามช่องทางต่าง ๆได้” ซึ่งหากเราต้องการคำตอบที่ดีที่สุด คือ ถามจากเพื่อน ถามจากคนรู้จัก หรือเข้าเว็บไซด์ หรือ Social Media ต่าง ๆ และสอบถามหรือเข้าไปอ่านประสบการณ์ต่าง ๆได้ ซึ่งปัจจุบันหาได้ไม่ยากนัก
7. มีคำพูดประโยคหนึ่งของ nu-lek ที่น่าจะตอบเป็นอย่างคือ “บอกได้เลยว่ายากจริง ๆ” ซึ่งประโยคนี้ “ผมเห็นด้วย” แต่ขอเติมต่ออีกนิดคือ “ถึงยากแต่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพราะหากคุณทำได้ สิ่งที่คุณได้รับ ย่อมคุ้มค่าอย่างที่คุณคาดไม่ถึง” และเพราะผมเห็นว่ายาก หากเป็นสมัยก่อน คงเป็นไปไม่ได้เลย แต่เพราะผมเห็นช่องทาง ที่มีแสงเล็ก ๆให้คนที่ไม่ค่อยมีโอกาส ได้มองเห็นโอกาสบ้าง ผมจึงแนะนำ ส่วนคุณจะเดินหรือเปล่า ก็ขึ้นอยู่กับคุณเอง
8. สำหรับเงินทุน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ซึ่งหากไม่มี ก็คงไม่สามารถทำอะไรได้ ซึ่งผมได้พูดชัดเจนแล้วว่า ลงทุนแต่น้อยก่อน หากพลาดจะได้ไม่เสียหายมาก ซึ่งเงินลงทุนที่ผมแนะนำคือ หลักพัน ซึ่งหากล้มเหลว ก็ถือเป็นประสบการณ์ แต่หากไปต่อได้ คุณ ก็มีโอกาส เติบโต และประสบความสำเร็จได้
สรุป1. ในมุมมองของผม หากผมจะเริ่มอะไรสักอย่าง ผมจะไม่เริ่มกับคำที่ “ทำไม่ได้” แต่ผมจะเริ่มว่า “หากคนอื่นทำได้ เราต้องทำได้ หรือ You can. I can.”
2. ขั้นต่อไปสำหรับผมคือ ค้นหา ข้อมูลในสิ่งที่เรายังไม่รู้ และศึกษาดูก่อน ให้แน่ใจก่อน และมองหาโอกาส ซึ่งโดยส่วนตัวผม ผมจะไม่รอโอกาส มาหาเรา แต่เราจะต้องสร้างโอกาสขึ้นมาให้กับตัวเรา
3. เริ่มต้นทำ เริ่มจากวิธีคิด “ผิดเป็นประสบการณ์ ถูกเป็นโอกาส”
4. สุดท้าย มองกลับด้านจากคนอื่น คือ ผมจะมองว่าผมมีความเสี่ยง 100% และเราจะไม่มองว่า ทำไปแล้วจะมีปัญหาอะไร แต่จะมองว่ามีปัญหาอะไร ที่เราจะต้องเจอ และเราต้องป้องกัน เพื่อลดความเสี่ยงให้เหลือน้อยที่สุด และเดินหน้า และเรารับได้แค่ไหน หากเกิดความผิดพลาด และนั่นคือจุด Stop lost
5. และผมยังคงยืนยันอยู่เช่นเดิม คือ “ใช่ว่าทุกคนจะทำได้” แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า “จะไม่มีใครที่ทำไม่ได้” ขึ้นอยู่กับมุมที่คุณมอง ซึ่งคนย่อมมองเห็นมุมที่ไม่เหมือนกัน
6. สุดท้ายคือ “คำตอบที่ได้จากการอธิบาย จะไม่เข้าใจมากเท่ากับค้นหาคำตอบด้วยตนเอง”
ด้วยความรู้สึกดีดี
ววส.