ต่อจากภาคที่แล้ว
http://www.welovegig.com/forum/index.php?topic=418874.0มีหลายท่านสงสัยว่าผมเจออะไรในตู้เย็น และ ในถังขยะ ...
โดยเนื้อความหมายที่ผมต้องการจะสื่อสารในตอนที่แล้ว มันไม่สำคัญหรอกครับว่า ผมเจออะไรในตู้เย็น และ ในถังขยะ
.... วิธีคิดของแม่ผมอาจจะแปลกๆ แต่แม่ผมสอนผมว่า สิ่งของที่คนๆหนึ่งเลือกที่จะทิ้งสามารถอธิบายตัวตนของคนๆนั้นได้ดีกว่าสิ่งของที่คนๆนั้นเลือกที่จะเก็บไว้ และ สิ่งของที่คนๆหนึ่งเลือกเก็บไว้สามารถอธิบายตัวตนของคนๆนั้นได้ดีกว่าสิ่งของที่คนๆนั้น เลือกที่จะเอาออกมาให้ใครต่อใครเห็น
นั่นคือ ของในถังขยะ จะบอกเล่าเรื่องราวคนๆนั้นได้ดีกว่าของในตู้เย็น และ ของในตู้เย็นจะบอกเล่าเรื่องราวคนๆนั้นได้ดีกว่าของบนโต๊ะอาหารในห้องรับแขก
แม่ผมถึงเตือนไว้ตั้งแต่ผมหนุ่มๆว่า อย่ามัวแต่นั่งชิวรอ(สมัยนั้นยังไม่มีคำว่าชิว แต่แม่คงหมายความราวๆนั้น)อยู่แต่ที่โต๊ะอาหารในห้องรับแขก เวลาสาวเจ้าชวนไปทานข้าวที่บ้าน ให้หาโอกาสเข้าไปในครัว (แอบ)เปิดดูของในตู้เย็น และ ถังขยะ
นัยที่ว่านี้ แม่ไม่ได้บอกว่า "ดี" หรือ "ไม่ดี"
แม่ผมแค่บอกว่า "แนวคิดการให้คุณค่า" ของเธอกับผม นั้น คล้ายกันหรือเหมือนกันไหม (โดยสังเกตุจากของที่เธอเลือกเก็บ และ ของที่เธอเลือกทิ้ง) ... ซึ่งก็แค่คล้ายกันหรือเหมือนกันเท่านั้น
ถ้าไม่คล้ายกันหรือเหมือนกัน ก็ไม่ได้แปลว่าเธอเป็นคนไม่ดี ก็แค่แปลว่า "แนวคิดการให้คุณค่า" ของเธอกับผม ไม่คล้ายกันไม่เหมือนกัน
ซึ่งจะแปลต่อไปได้ว่า อย่าเอาเธอมาเสียเวลากับผม เธอคงทนผมไม่ได้ และในที่สุด ก็ไม่น่าจะไปกันรอด หรือ ถ้าจำต้อง(กัดฟัน)อยู่ด้วยกันก็คงจะฝืนและฝืด*
เกินครึ่งศตวรรษต่อมาจากวันที่แม่สอน ผมถึงได้รู้ว่า วันนั้น ... ผมมัวแต่เพลินไปกับการสีสรรตกแต่งบนโต๊ะอาหาร และ สวดลายบนผนังห้องรับแขก ...
neminem
*หลายท่านอาจจะแย้งว่า "ความรัก" เท่านั้น แก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ถ้ารักจริงก็ต้องยอมอดทนทุกอย่าง รับได้กับสิ่งที่คนรักเราเป็นคนรักเราชอบ และ เปลี่ยนแปลงตัวเราเองทุกอย่างได้เพื่อคนที่เรารัก .... เอิ่ม ... ผมไม่ออกความเห็นดีกว่า ไปดูซีรี่ย์เกาหมี เคลิ้มไปกับนางเอกสวยๆ แล้วหาไวน์ดีๆละเลียดสักขวด
... (ดีกว่า)