หลังจากที่ผมหาวันว่างได้ ก็อยากเปลี่ยนบรรยากาศไปเที่ยวนอกกรุงเทพบ้าง ผมได้พูดคุยนัดแนะกับ "คุณชญา" ที่ว่ากันว่าน้องคนนี้ เธอ ดื้อ สวย ดุ ก็ถึงเวลาที่ผมต้องท้าพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วล่ะครับ..
ขับรถไปรับน้องหน้าปากซอยตามเวลา "คุณชญา" มาในชุดกระโปรงสีสันสดใส เธอรูปร่างสูง เพรียว ผิวกลางๆ ก้าวขึ้นรถมาด้วยรอยยิ้ม ทักทายกันเล็กน้อย และด้วยความสงสัยของผมจากการบ้านของคุณชญาก่อนหน้านี้ที่ว่า เธอจะพกคัตเตอร์ไว้ตลอดเวลา "วันนี้น้องพกคัตเตอร์มาด้วยรึเปล่าครับ" น้องหยิบกระเป๋าถือขึ้นมาเปิดซิป หยิบคัตเตอร์ขึ้นมาโชว์ กดใบมีดขึ้นลง เสียงดัง แกร้กๆ.. พร้อมมองมาที่ผมด้วยดวงตาคู่โตคมกริป รอยยิ้มที่มุมปาก.. จะบอกว่า หน้าน้องเวลานี้ ทั้งดุ ทั้งซน ทั้งน่ารักเลยล่ะครับ.. หุหุ
เมื่อคนพร้อม อาวุธพร้อม เราก็บึ่งรถมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางของเรา.. พัทยา ครับ
ก่อนหน้านั้น ผมได้เคยเกริ่นกับน้องไว้ว่า "พี่คุยไม่ค่อยเก่งนะครับ" พอเจอหน้า คุณชญาก็เลยอาสาชวนผมคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ สัพเพเหระไปตลอดทาง ทำให้การเดินทางไปพัทยาเป็นไปด้วยความเพลิดเพลิน ผ่อนคลาย และเป็นกันเองทีเดียว ผมรับรู้ได้ว่าเธอเป็นคนค่อนข้างพูดตรงและจริงใจ.. นอกจากเธอไม่เหน็ดเหนื่อยที่จะชวนผมคุย เธอยังมีมุมมองและทัศนคติในเรื่องต่างๆ ที่แปลกและน่าสนใจ และที่สำคัญ ตลอดระยะเวลาการเดินทาง ผมแทบไม่เห็นเธอหยิบโทรศัพท์ไอโฟนห้าสีทองของเธอออกมาใช้เลยครับ เรียกได้ว่าเวลาทุกวินาที เธออยู่กับผมตรงนั้นจริงๆ
เมื่อถึงพัทยา จุดแรกที่เราแวะคือ ตลาดน้ำ 4 ภาคครับ เมื่อลงจากรถ คำถามแรกที่ผมถามเธอคือ "พี่ขอควงคุณชญาได้มั๊ยครับ" คำตอบที่ได้รับคือ "ได้สิคะ คิดซะว่าวันนี้หนูเป็นแฟนพี่ละกัน" ผมจึงค่อยๆ เอื้อมมือไปจับมือเธอเบาๆ เธอก็จับมือผมไว้ สรุปว่าเราก็จูงมือกันเดินคุยกันจนทั่วบริเวณ บรรยากาศที่นั่นในวันธรรมดาที่ไม่ใช่วันหยุด คนไม่เยอะ เดินดูของที่อยากจะดูได้สบาย แต่ในเวลานั้นผมรู้แต่เพียงว่า มือเล็กๆ นุ่มๆ ของเธอ และหัวใจที่พองโตของผม มันได้สร้างความรู้สึกที่แสนพิเศษ อย่างที่ผมไม่ได้รู้สึกแบบนี้มาแสนนาน
"คุณชญาอยากทานอะไรดีครับ" ผมถามเพราะเป็นเวลาเที่ยงพอดี และตั้งใจว่าจะพาเธอออกไปทานอะไรอร่อยๆ "เราหาร้านก๋วยเตี๋ยวทานกันที่นี่แหละค่ะ" เป็นอีกหนึ่งความประทับใจกับเธอคนนี้ เธอติดดิน ไม่ได้เป็นคุณนายไฮโซแบบที่บุคลิกบางอย่างของเธออาจจะทำให้เข้าใจว่าเป็นแบบนั้น
เราจึงได้มื้อเที่ยงเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือนั่งเสื่อในตลาดน้ำ 4 ภาคนั่นแหละครับ คุณชญามีกิริยาการทานที่เรียบร้อยนะครับ เธอค่อยๆ ทาน ช้าๆ เราทานกันไป คุยกันไป สบตากันไป ตอนนั้นผมจึงมีโอกาสได้พินิจพิเคราะห์ คุณชญามีใบหน้าเล็กเรียว มีดวงตาสวยกลมโต แววตาฉลาดเฉลียว คิ้วโก่ง จมูกโด่งได้รูป รอยยิ้มแถมเขี้ยวเก๋พิมพ์ใจ จะบอกว่าเวลาที่ผมสบตาเธอและเธอยิ้มให้ หัวใจผมแทบจะละลายไปตรงนั้นเลย..
หลังจากทานมื้อเที่ยงเสร็จ เราก็เดินจูงมือกันออกจากตลาดน้ำ 4 ภาค ผมเห็นป้ายห้องน้ำตรงทางออก ก็เลยจะขอแวะเข้าห้องน้ำนิดนึง น้องบอกว่า "ไปเข้าด้านลานจอดรถดีกว่าค่ะ" ผมก็โอเคครับ เพราะยังไงเราก็ต้องเดินไปที่รถอยู่แล้ว แต่พอเดินไปถึงรถ ผมก็ยังไม่เห็นห้องน้ำ น้องบอก "ห้องน้ำอยู่ตรงโน้นค่ะ" พร้อมชี้ไปข้างหน้า "โห ทำไมมันไกลจัง" ผมแอบบ่น.. "เราก็เดินจูงมือคุยกันไปเรื่อยๆ ไงคะ เวลาเราเยอะ" เอ่อ.. ขอผมเอาหัวใจไปแช่แข็งแป๊บบบ..
จุดหมายต่อไปของเราก็คือ พระพุทธรูปเขาชีจรรย์ ครับ แถวนั้นก็จะมีวิหารเซียน วัดญาณฯ และไร่องุ่น Silver Lake คือเราจะไปหามุมถ่ายรูปโซนนั้น เพราะคุณชญา เธอเคยเป็นนางแบบสมัครเล่นอยู่พักนึง (ด้วยความสูง 167 ซม และรูปร่างที่เพรียวบาง เธอก็นางแบบดีๆ นี่เองแหละครับ) ส่วนผมก็ชอบถ่ายรูปอยู่แล้ว ก็หยิบกล้องติดรถไปด้วย
ปรากฏว่าระหว่างทางไปฟ้าครึ้มมากครับ และพอไปถึง ฟ้าฝนก็ไม่เป็นใจ ฝนยังตกไม่หยุด เราจึงไม่สามารถแวะลงไปถ่ายรูปตามสถานที่ที่ตั้งใจไว้ได้ แต่เมื่อไหนๆ ก็ไปถึงแล้ว เราก็แวะลงไปสัมผัสบรรยากาศกันสักหน่อย ผมจึงหยิบร่มติดรถคันเล็กชวนน้องลงไปเดินรับลมรับละอองฝน เธอก็ยินดีไปกับผมโดยไม่อิดออด เธอบอกว่า เธอเป็นคนไม่กล้วแดด ไม่กลัวกลัวฝน กลัวแค่คนใจร้าย.. เธอน่ารักมั๊ยล่ะครับ
บรรยากาศตอนนั้น ฝนตก อากาศเย็น ผมกับคุณชญาอาศัยร่มที่มีอยู่คันเดียว เดินฝ่าสายฝนโปรยปรายไปที่จุดชมพระพุทธรูปเขาชีจรรย์ ซึ่งขณะนั้นก็มีนักท่องเที่ยวกรุ๊ปชาวจีนกางร่มเที่ยวชมกันอยู่กระจัดกระจายในบริเวณ แต่ผมว่า ร่มหลากสีที่เห็นอยู่เต็มไปหมดนั้น ไม่มีร่มคันไหนที่จะอบอุ่นเท่าร่มคันเล็กที่มีผมกับคุณชญาช่วยกันถือและเดินเบียดกันไปแบบนี้อีกแล้วล่ะครับ
หลังจากออกไปรับละอองฝนกันเล็กน้อยพอเกือบเปียก ก็ได้เวลากลับกรุงเทพครับ ขากลับ ฝนตกตลอดทาง แต่มันก็ยังเป็นการเดินทางที่ไม่น่าเบื่อ แม้เสียงพูดคุยกันอาจจะลดน้อยลงกว่าตอนขามา แทนที่ด้วยเสียงเพลงหวานๆ เบาๆ ที่เปิดในรถ คุณชญาจะเป็นคนที่ชอบฟังเพลงเป็นชีวิตจิตใจครับ เธอบอกว่า เวลาว่างเธอมักจะฟังเพลงและอ่านหนังสือ เธอไม่ค่อยชอบดูทีวีครับ และเวลาเธอเจอเพลงที่ถูกใจ เธอก็จะฟังและปล่อยใจให้ลอยล่องไปกับเสียงเพลงที่เธอชอบ ระหว่างทางขับรถกลับ แม้ว่าเราจะไม่ได้คุยกันมากนัก แต่มือของเรายังคงกุมไว้ด้วยกัน ผมแอบใจหายว่าทำไมเวลามันช่างผ่านไปเร็วเสียเหลือเกิน..
เรากลับมาถึงกรุงเทพ ยังพอมีเวลาทานมื้อเย็นด้วยกัน เราจึงแวะห้างใกล้บ้านเธอ ทานข้าวพูดคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนจะพาน้องกลับไปส่งที่พักอย่างปลอดภัย..
กับหนึ่งวันสบายๆ กับคุณชญา ผมสรุปได้ว่า น้องเค้าไม่ได้ดุอย่างที่คิดครับ ส่วนที่ว่าน้องเค้าพกคัตเตอร์ไว้ทำไม และทำไมคัตเตอร์อันนี้มันถึงได้ราคาแพงกว่าปกติมาก ถ้าพี่ๆ ท่านใดอยากทราบ ผมว่าคงต้องหาเวลามาสอบถามน้องเค้าด้วยตัวเองล่ะครับ.. และท่านใดที่ยังเป็นหนุ่มโสด.. ผมว่า.. "Strongly Recommended"
ปล. ต้องขออภัยที่ผมเผลอฟินซะจนไม่ได้เก็บภาพอะไรมาฝากเลย.. เหอะๆ