[ โปรดใช้วิจารณญาณ / 18+ ] คาถามัดใจ ⎯ ใจเขาหรือใจเรา . . หัวใจของใครกันแน่ที่ถูกพันธนาการ ?
ในค่ำคืนที่ทุกคนนอนหลับกันไปตั้งนานแล้ว (พรุ่งนี้จะไปทำบุญที่วัดกัน ) ยังเหลือเพียงแค่เราที่ยังนอนหลับไม่ลง
. . เรากำลังนึกทบทวนถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมาในอดีต เพื่อค้นหาคำตอบที่เรากำลังพยายามตอบตัวเองให้ได้ในปัจจุบัน
ครั้งหนึ่ง
เราเคยมีความรัก
ตอนนั้นเรายังเรียนอยู่ในมหาลัย ใช้ชีวิตทุกวันด้วยความสนุกนานอย่างอิสระซึ่งเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
เราเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเพื่อนฝูงเยอะแยะเหมือนอย่างที่คนอื่น ๆ เค้ามีกันหรอก
คบ ๆ กันแค่ไม่กี่คนก็เลยสนิทกันมาก ๆ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็คุยเปิดใจกันได้ทุกเรื่อง
จนกระทั่งวันหนึ่ง . .
ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว บรรยากาศอึมครึมเหมือนฝนจะตก ( ซึ่งเราเดาว่าเย็นนี้ฝนต้องตกลงมาแน่นอน )
หลังเลิกเรียน พวกเราก็เลยนัดเจอกันที่ม้านั่งหลังห้องสมุด . . เผื่อฝนตกจะได้เข้าไปหลบฝนในห้องสมุดได้
ฝนตั้งเค้ามาแล้ว . .
นิสิตหลายคนพากันแยกย้ายกลับบ้าน ( รึอาจจะไปที่อื่น ๆ ) แต่พวกเราก็ยังนั่งทำการบ้านกันอยู่ ( อ่านหนังสือ + ทำรายงาน )
ข้างนอกฝนตกหนักแล้ว ในห้องสมุดวันนี้ก็เลยไม่ค่อยมีคน ทำให้รู้สึกว่าแอร์เย็นมากกว่าปกติ
. . เราก็เลยเล่าเรื่องผีกัน
เราจำไม่ได้ว่าพวกเราคุยเรื่องอะไรกันไปถึงไหนถึงได้มีจุดประเด็นเรื่องคาถาอาคมกันได้
และนั่นทำให้เราคิดแผนแต๊ะอั๋งผู้ชาย ( ที่เราแอบชอบ ) ขึ้นมาได้อย่างแนบเนียน
. . เรากำลังคิดถึง “ ปู่เจ้าสมิงพราย ” ในเรื่อง ลิลิตพระลอ
ใช่ . . ปู่เจ้าสมิงพรายมีอิทธิฤทธิ์เยอะจะตายไป !
ในยุคที่ม่านประเพณีแข็งแกร่งยิ่งกว่าโซ่ตรวนแบบนั้น . . ปู่เจ้ายังทำให้พระเพื่อนพระแพงยังมีผู้ชายคนเดียวกันได้ ( พระลอ )
กระไรเลย จำเราเป็นต้องลองเอาวิธีนี้มาใช้ดูบ้างจะเป็นไรมี ( มันไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้วนี่นา )
เราเริ่มต้นจากการหว่านล้อมให้เพื่อนคนอื่น ๆ นั่งนิ่ง ๆ ไม่ส่งเสียงอะไร และให้เป้าหมายฟังคำเราอย่างตั้งใจ
เขานั่งนิ่ง ( ดูจริงจังมาก ) เราเอื้มมือทั้งสองข้างออกไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ จนกระทั่งสัมผัสที่แก้มของเขาทั้งสองข้าง
แล้วบอกให้เขาหลับตา . .
เราค่อย ๆ ชักมือกลับจนมาประนมอยู่ที่หน้าอก และถอนหายใจยาว ๆ หนึ่งครั้ง ( พยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้น่ะ )
เราสังเกตุเห็นเพื่อนคนอื่น ๆ ตั้งใจดูพิธีกรรมปลอม ๆ นั้นก็กลัวว่าจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ต่อไปไม่ได้นานก็เลยหลับตาลงช้า ๆ
เพื่อให้มันดูไซโค ( Psycho ) มากขึ้นไปอีก เราเลยบอกให้เป้าหมายของเรานั่งหันหลัง เพราะการเสกคาถา คน ๆ นั้นต้องไม่รู้ตัวนะ
แล้วเริ่มต้นบริกรรมคาถาอัักดิ์สิทธิ์นั้นอย่างมีมนต์ขลัง
ข้างนอกฟ้าร้องเสียงดังมาก ( เหมือนขัดจังหวะของเรา )
‘เส็ง’ เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มก็อุทานออกมา “ เฮ้ย ! มีฟ้าร้องด้วยอ่ะ สงสัยจะขลังจริง ”
จุ๊ จุ๊ จุ๊ เราพยามฝนที่จะไม่หัวเราะออกมาด้วยท่าทางข่มใจ และเริ่มร่ายเวทมนต์
“ โอม . . ปู่เจ้าสมิงพราย
กุจักใช้พระนารายณ์ไปร้องเรียก
กุจักใช้พระลำเจียกให้ไปหา
กุจักใช้ปูนพลูให้ไปพามา
มืงรักกุเสมือนช้างรักงา
มืงรักกุเสมือนปลารักน้ำ
แม่มืงจักร้องไห้มาหากุ
โอม สิทธิคุณครุสวาหะ ฯ ”
เมื่อร่ายคาถาเสร็จ เราก็ลืมตาขึ้น
“ เสร็จยัง ? ” ‘เบีย’ เพื่อนในกลุ่มอีกคนก็โพล่งขึ้นมา
เส็งก็สำทับทันที “ แล้วไหนหมากไหนพลูของมืงอ่ะ . . เห็นบอกจะให้หมากพลูพามาหา แล้วงี้จะตามเจอเหรอวะ ”
แหม่ . . เพื่อนแต่ละคน ดูจริงจังกันมากเลยนะเนี่ย
ตอนแรกเราว่าจะเป่าลมไปที่หน้าผากของเป้าหมาย แต่คิดว่ามันคงจะไม่ฮือฮาและไม่สนุก ที่สำคัญคือไม่ได้ผลสำเร็จทางใจ
ก็เลยบอกให้เป้าหมายของเราหันหน้ากลับมาได้แล้ว เธอจงนั่งนิ่ง ๆ สูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ แล้วหลับตาลงซะ
ตอนนั้น สมองของเราทำงานหนักมากในการคิดหาวิธีใดวิธีหนึ่งให้ได้เพียงชั่วลัดนิ้วมือ
เราขยับหน้าเข้าไปใกล้ ๆ ได้มองเห็นเขาหลับหลับตานิ่งอยู่แบบนั้น แวบหนึ่งเราก็คิดขึ้นมาในใจตัวเองว่า
‘ ทำไมเขาถึงดูไร้เดียงสาและบริสุทธิ์เช่นนี้หนอ . .
ดูซิ ! กำลังโดนอำอยู่ยังไม่รู้ตัวอีก เขาจะใช้ชีวิตในโลกที่เต็มไปด้วยเสือสิงห์กระทิงแรดได้ยังไงกัน
’
ทันใดนั้นเอง . .
แทนที่เราจะเป่าไปที่หน้าผากเหมือนจอมขมังเวทย์ในหนังผี แต่เรากลับเอื้อมมือข้างหนึ่งไปจับที่แก้มเขาเบา ๆ
แล้วจุมพิตที่ริมฝีปากของเขาอย่างแผ่วเบาและอ่อนโอนที่สุด
มันใช้เวลาไม่นานหรอก เราก็ไม่แน่ใจว่าทำแบบนั้นไปนานเท่าไร แต่รู้ว่ามันแป้บเดียวเท่านั้นจริง ๆ
เขาเบิกตาโพลงจ้องมาที่เราอย่างตระหนก ( ก็คงจะตกใจล่ะมั้ง ) และเพื่อนคนอื่นๆ ก็เช่นกันค่ะ
เพื่อเป็นการรักษาภาพลักษณ์ เราก็เลยรีบเอามือขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากของตัวเองเบา ๆ พร้อมกับทำหน้างง ๆ แลดูอินโนเซนส์จัด
ให้เหมือนกับว่าเราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำบัดสีแบบนั้นลงไปได้อย่างไรกัน
“ เอ่อ . . ” เรารำพึงออกมาเบา ๆ “ สงสัยเราคงจะโดนอิทธิฤทธิ์ของปู่เจ้าซะเองแล้วล่ะ ”
ค่ะ . . หลังจากนั้นไม่นานเราสองคนก็คบกันเป็นแฟนอย่างเปิดเผยอยู่หลายปี
. . จนถึงวันที่เราเลิกรากันไป
นั่นคือเรื่องราวที่อาจจะเรียกได้ว่า มันคือ ‘ อนาคตที่ผ่านไปแล้ว ’ ของเรา
หลายปีที่ไม่ได้ติดต่อกัน เราได้เจอหน้ากันอีกครั้ง และกลับมาเป็นเพื่อนกันอีกครั้งในวันที่เขาแต่งงาน
เราไม่แน่ใจว่าการกลับมาของเรามันจะมีผลกระทบอะไรในชีวิตของเขาบ้าง หรือมันจะมากน้อยแค่ไหน เราก็เดาไม่ได้เลย
หลายคนพูดว่า เรากับเขาไม่ควรที่จะคบกันต่อไปอีก ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม
และแม้ว่าเราสองคนจะคบหากันฉันเพื่อนด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ก็มีคนที่ไม่เข้าใจและเป็นทุกข์
เพื่อนเราเล่าว่า เขากับภรรยาทะเลาะกันหลายครั้งก็เพราะเรื่องของเรา และอดีตระหว่างเขากับเรา
ท้ายที่สุด เราก็เลยตัดสินใจที่จะไม่ติดต่อกับเขาอีก เพื่อความสบายใจและเพื่อความสุขของทุกคน
ในวันที่เราออกไปกินข้าวกัน ( เรานักเขาออกมาเจอพร้อมเพื่อน ๆ อีก 2 - 3 คน )
เราก็พูดกับเขาตรง ๆ ว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบ้างที่เกี่ยวข้องในความสัมพันธ์ระหว่างเรา
ซึ่งเราคิดว่าเขาเองก็น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจไม่ต่างกัน
เขาถามว่าเรายังเรื่องราวในห้องสมุดวันฝนตกหนักนั่นได้ไหม ? และคาถานั่นมันสิ้นสุดไปรึยัง ?
แล้วคำสัญญาต่าง ๆ นานาของเราที่ผ่านมา มันยังเหลืออยู่อีกไหม ?
ทำไมเขาถึงยังคงคิดถึงแต่เราอยู่ตลอดเวลา และไม่เคยหยุดรักเราได้เลย ?
มันเป็นคำถามที่เสียดแทงหัวใจเรามากเลยนะ
ในขณะที่เขายังรักเราเต็มหัวใจ แต่ในหัวใจของเรากลับไม่เคยรู้สึกถึงความรักของใครอีกเลย
. .
เราได้ยินข่าวว่า เขาไปอยู่ที่วัดราว ๆ สองสัปดาห์ก่อนที่จะบวชเป็นพระ
และพรุ่งนี้ ( เป็นวันที่ แห่งการครองเพศบรรพชิต ) ครอบครัวของเขาก็ชวนครอบครัวของเราไปทำบุญด้วยกัน
แต่เราไม่คิดว่าเราสมควรจะไป ณ เวลานี้ ( มั้ง )
และถึงแม้เราก็พอจะรู้ว่าทำไมถึงไม่มีใครบอกเราว่าเขาบวช ทั้ง ๆ ที่พ่อแม่เราก็ได้รับเชิญไปร่วมงานด้วย
. . เราไม่เสียใจเลย เพราะรู้ดีแก่ใจตัวเองว่าเพราอะไร
เราไม่กล้าถามเรื่องชีวิตแต่งงานของเขาด้วยซ้ำว่าแฟนเขาจะเป็นยังไงที่เขาละทางโลกไปแบบนี้ซะแล้ว
รู้แค่เพียงว่าเขาขอเวลาศึกษาพระธรรมใต้ร่มกาสาวพัสตร์สักปีสองปีก็จะลาสิกขาออกมาใช้ชีวิตคราวาสตามเดิม
ที่คืนนี้นอนไม่หลับ . .
ก็คงเพราะคำพูดของน้องชายเขาที่ไลน์มาถามเราว่ามีอะไรอยากจะฝากไปถึงพี่ชายเขาบ้างไหม
เราตอบไปว่าขอให้เขาได้อ่านข้อความนี้
“ พระคุณเจ้าได้ครองเพศบรรพชิตแล้ว
ขอให้จงรักษาศีลให้บริสุทธิ์อยู่เสมออยย่าได้บกพร่อง
เรื่องราวทางโลกนั้นเต็มไปด้วยความวุ่นวายอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้
. . เราขออนุโมทนาด้วย ”
เราคิดว่าเรื่องคาถาปู่เจ้าฯ ของเราเนี่ย ส่งผลทางจิดใจเป็นอย่างมาก และเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อผู้ที่เชื่อ
เพราะหากว่าคุณเชื่อเรื่องเหลวไหลอย่างหนึ่งได้ คุณก็พร้อมที่จะเชื่อเรื่องเหลวไหลทุกเรื่องที่มีอยู่บนโลกนี้