ขอตอบยาวๆตามนี้นะครับ
1 เก็บเงิน ไม่เสี่ยงแต่ปัจจุบัณไม่ชนะเงินเฟ้อ จำเป็นต้องเก็บเพื่อสำรองยามฉุกเฉิน
2 จะชนะเงินเฟ้อต้อง ลงทุน การลงทุนมีความเสี่ยง ต้อง...
2.1 มีวินัยทางการเงิน ใช้จ่ายให้มีรายจ่ายน้อยกว่ารายรับเสมอ คือรับมากกว่าจ่าย (น้องจำนวนมากที่เดือดร้อนที่ผมเจอใช้มือถือแพงกว่าผมสามเท่า ฟอร์นิเจอร์บนตัวแพงกว่าผมห้าเท่า...) ใช่จ่ายแบบนี้จะมีเงินส่วนเกินเข้ามาสม่ำเสมอ=นี้คือเงินลงทุน คือเงินเย็นที่เสี่ยงได้ เพราะถ้าเงินลงทุนคือเงินร้อน ใจจะร้อน ทำอะไรจะลนลาน แล้วจะขาดทุนเพราะใจไม่นิ่งหวั่นไหวโลเล
2.2 สะสมความรู้ ถ้าความรู้ไม่พอ ระยะยาวจะเจ๊ง ถ้าลงทุนในสิ่งที่”กำไรของเราไม่ได้มาจากขาดทุนของคนอื่น” เช่น ทอง พันธ์บัตร ที่ดิน ต้องรู้ว่าทำไร อะไรทำให้ราคา เปลี่ยนแปลง
ถ้าลงทุนในหุ้น ”กำไรของเรามาจากขาดทุนของคนอื่น” จะกินเงินเขาต้องรู้มากกว่าเขา ระยะยาว90%ของคนเล่นหุ้นเจ๊ง 7% พอไหว 3%รวย 90%ของคนถือกองทุนได้ผลตอบแทนที่ดีแต่ไม่มากจนรวยได้
2.3 เรียนรู้จัดการความเสี่ยง คือ รวยเป็น และ เจ๊งเป็น ยกตัวอย่างใกล้ตัวก่อน
สมมุติว่าผมจ้างน้องใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อน 3 คน ( ซื้อหุ้น 3 ตัว) น้องคนที่1และ2 เจอแล้วห่วยแตกเสียความรู้สึกมาก ก็คือเจ๊ง ขาดทุน ผมก็แค่เจอหนเดียว เอาเงินส่วนเกินของชีวิตมาเที่ยว( ดูข้อ 2.1 เอาเงินส่วนนั้นมาลงทุน) ขาดทุนแล้วก็ได้ความรู้ในการคัดแยกคน ( ได้ความรู้การคัดแยกการลงทุน) เราก็พัฒนาความรู้ไป น้องคนที่สามเจอแล้วมีความสุขมาก (ลงทุนมีกำไร) ผมก็แค่ถ้ามีโอกาสครั้งหน้าก็นัดเจออีกเรื่อยๆ ไม่มีโอกาสก็ไม่ฝืนเจอ เจอคนดีๆคนอื่นที่ผมรู้จัก บางคนเจอกันมามากกว่า5ปีแล้ว คือมีกำไรเรื่อยๆ ( เล่นหุ้นมานานมาก ผมรู้จักหุ้นไม่ถึง20 ตัว มีโอกาสก็วนไปมากำไรไม่รู้จบ ไม่มีโอกาสก็ทำอย่างอื่น ) นี่คือขาดทุนเป็น ขาดทุนก็เสียหายจำกัด ถือว่าค่าวิชา กำไรเป็นคือกำไรแล้วก็เรียนรู้เหตุรู้ผลเพื่อที่จะทำซ้ำได้
ปล. มีเวลาจะมาเขียนต่อว่าเริ่มอย่างไร
หนูเก็ยเงิบฉุกเฉินแยกไว้อยู่นะคะ รายได้ 6 เดือน เผื่อเดือดร้อน แยกกับกองนี้ พี่มาเล่าต่อเลยน้า อยากฟังๆๆๆๆ
เอาว่าข้อ 2.1 หนูผ่าน มีเงินเหลือสม่ำเสมอ และมีสำรองอีก 6 เดือน ดังนั้นเงินนี้คือเงินลงทุน
A แนะนำว่าส่วนหนึงเสวงหาดอกเบี้ยที่สูงกว่าธนาคาร เช่น สหกรณ์ คือยังคล้ายฝากธนาคารแต่ดอกเบี้ยสูงกว่า อันนี้ก็ไม่รวย แต่ดีขึ้นกว่าฝากธนาคารหน่อย น่าจะง่ายสำหรับหนู คือสะสมไว้ พอถึงเวลาที่ความรู้พอที่จะเสี่ยงจะได้มีเงินไปเสี่ยง
B ส่วนเริ่มเรียนรู้การลงทุน แนะนำเริ่มจากซื้อกองทุน(เริมแบบนี้ดูข้อ 2.2 เราจะอยู่ใน 90%ของคนซื่้อกองทุน) คือให้มืออาชีพเขาทำให้เราดู จะได้เรียนรู้ไปด้วยได้เงินไปด้วย
ถ้าทำงานมีภาษีที่จะหัก ก็ซื้อLTF , RMF ไปสมัครกับ บ.หลักทรัพย์ใหญ่ๆอันไหนก็ได้ที่สะดวก ให้เขาเลือกกองทุนมาให้เราสัก 5 กอง ( ที่มีผลการดำเนินงานย้อนหลังไม่น้อยกว่า 5 ปี ) เลือกซื้อ 1 กอง ไม่ต้องเลือกเอากองที่กำไรสูงสุด แต่เอากองที่ฟังรายละเอียดแล้วเข้าใจมากที่สุด(หรือถ้าไม่เข้าใจก็งงน้อยสุด) ปีแรกๆที่ลงทุนเราซื้อความรู้
แนะนำให้เลือกกองที่มีหุ้นเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย
สมมุติว่าลงทุนซื้อหน่วยลงทุนมาแล้วหนึ่งกอง(ซื้อไม่ต้องมาก เพราะเรียนรู้ไปซื้อเพิมไปเรื่อยๆได้) ก็ถามเขาว่ากองทุนลงทุนในหุ้นอะไรบ้าง ขอรายชื่อหุ้น 10 ตัวแรกที่กองทุนลงทุนเรียงจากน้อยไปมาก เลือกตัวที่เรา งง น้อยที่สุดมา 3 ตัวเพื่อติดตามผลการดำเนินงาน/ราคา/ข่าวสาร ของหุ้น 3 ตัวนั้น
ขอข้อมูลพื่อฐานของหุ้น 3 ตัวนั้นจาก marketing ที่ขายกองทุนให้เรา ข้อมูลเขามีเตรียมให้อยู่แล้ว ทุกสามเดือนก็ขอรายงานว่ากองทุนเขา ขายหุ้นที่เราตามอยู่ออก หรือ ซื้อเพิ่มอย่างไร คือตามดูว่ามืออาชีพเขาทำอย่างไร
เริ่มศึกษาหาความรู้ไป เช่น เข้าไปใน
www.set.or.th ไปดูราคา ดูตัวเลขต่างๆ เช่น ค่า P/E ROI ROE ..... ใหม่ๆก็ไม่รู้ความหมาย ถามgoogle แล้วถ้ายังสงสัยความหมายก็โทรถาม marketing คือใช้ marketing เป็นคนสอนนะ
คืออยากรู้อะไรก็ลองทำดูโดย ===> ซื้อ(น้อยๆ ถ้าดีซื้อเพิ่มที่หลังได้) ===>ตามศึกษา ตามดูผล ===> ถามmarketing ในสิ่งที่เราไม่เข้าใจ ===> ทำไปเรื่อยๆจนรู้ถึงจุดหนึงค่อยโยกเงินจากข้อ A มาไว้ในข้อ B เพิ่มขึ้น
อยากรู้หุ้น เริ่มจากกองทุนหุ้น
อยากรู้ตราสารหนี้ เริ่มจากกองทุนหุ้น
ยังไม่รู้ ให้คนรู้เล่นให้
รู้แล้วก็เริ่ม
เล่นเองเฉพาะส่วนที่เรารู้ดีคือรู้มากกว่าชาวบ้านมากๆๆๆๆๆๆ ที่รู้พอๆกันไม่ต้องไปเล่นมันเสี่ยง จ้าง(ยอมเสียค่าธรรมเนียม)มืออาชีพเขาทำให้