**36**ตลอดปีที่ผ่านมา ผมได้พูดคุยกับน้องในเว็บหลายคน บางคนก้อไม่มีแม้แต่โอกาสได้ทำความรู้จักกัน บางคนก็มีโอกาสได้รู้จักกันแต่ไปไม่ถึงการได้พบกัน แต่นั่นแหละมีบางส่วนที่เราสามารถพัฒนาจนพบเจอกันได้ และมีส่วนหนึ่งแม้จะไม่มากที่กลายเป็นความทรงจำที่น่าประทับใจ และผมจะเก็บมันไว้เพราะผมยังอยากจะยิ้มกับความทรงจำที่ผมมีในอดีตที่ผ่านมา นี่คือความทรงจำที่ผมพอจะสรุปและรวมไว้เพื่ออ่านกระตุ้นภาพในวันเหล่านั้น มันน่ารักและมีรอยยิ้มปนอยู่ในนั้นเลยอยากจะมาแบ่งปัน ถือว่าอ่านสนุกๆนะครับ บางคนอาจจะคิดว่ามันจริงหรือไม่จริงผมไม่กังวลกับความสงสัยเหล่านี้เลย พี่ๆน้องๆที่อ่านก้ออย่าไปคิดมากเลยครับ แต่แน่นอนเธอเหล่านั้นที่ผมเขียนถึงคงรู้ว่าเรื่องราวเหล่านี้มันคือเรื่องราวของพวกเธอ และเธอคงรู้ว่าสิ่งที่เขียนนั้นไม่เท่าที่เรารู้สึกกันในวันนั้น แต่อย่างน้อยมันคงทำให้เธอเหล่านั้นได้หวลนึกถึงวันเหล่านั้นที่เราเคยเจอกันนะครับ นี่คือที่มาของการบ้านชุด “กาลครั้งหนึ่งที่ WLG”การบ้านที่เก็บรวบรวมความประทับใจที่ไม่เคยเขียนมาก่อนตลอดปี2016 …………
https://www.youtube.com/watch?v=xbZyjScHnAw S1: แก้วกาแฟที่สั่นไหว………….
“น้องครับน้องโอเครึป่าวครับ” คำถามในร้านกาแฟวันนั้นมันยังก้องและสะท้อนลึกๆในใจของผม แม้จะแผ่วเบาแต่ไม่เคยจางหายไป มันกลับมาทุกครั้งที่ได้นั่งทานช็อกโกแลตในร้านแห่งนี้ ภาพหญิงสาวที่สวยงาม แต่งตัวมาแบบน่ารัก พิถีพิถัน แบบที่ผมรับรู้ได้เลยว่าน้องตั้งใจจะทำให้คนที่น้องกำลังจะมาพบในวันนั้นประทับใจ แต่ภาพเหล่านั้นมันไม่ได้ชัดเจนในความทรงจำของผมเท่ากับภาพของเธอที่ถือแก้วเครื่องดื่มด้วยอาการสั่นไหวจนทำให้ผมมองเห็นได้ถึงแก้วกาแฟที่สั่นอยู่ตลอดเวลาจนเธอต้องเอามืออีกข้างมาประคองไว้ และแทบจะตลอดเวลาในการสนทนาเธอจะก้มหน้า หลบสายตาคู่สนทนาอย่างผมจนผมกังวล ประกอบกับเสียงของเธอที่เบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบในเกือบทุกคำพูดของเธอ อาการของเธอนั้นประหม่าจนผมต้องหยุดและคุยกับเธออยู่นาน จนเธอเริ่มเป็นตัวของตัวเอง แต่เสียงของเธอนี่สิ เบาและเหมือนเสียงกระซิบจริงๆ เมื่อเราได้อยู่ใกล้กันผมรับรู้ได้ถึงความกังวล แต่มันไม่ชัดเจนเท่าความเหงาในตัวเธอ ผมรับรู้ได้ถึงสิ่งนี้มากกว่าเรื่องอื่น เราเริ่มต้นด้วยการถ่ายภาพที่บอกเลยว่าน้องตัวสั่นมาก จนมันทำให้ภาพที่ได้มันสั่นๆ เหมือนเราไม่เข้าใจกันระหว่างการกดชัตเตอร์กับการโพสท่า ผมเลยพยายามชวนน้องคุยและเข้าไปจัดโน่นจัดนี่ใกล้ๆตัวน้อง ทำให้น้องยิ้ม ผมรู้สึกเหมือนน้องกังวลกับผิวของน้องเหมือนไม่มั่นใจ ผมเลยนำออยที่จะใช้สำหรับนวดมาทาเบาๆ เพื่อช่วยให้เกิดการสะท้อนแสง และเพิ่มความมั่นใจให้กับน้อง ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันใช่ตามหลักทฤษฎีอะไรรึป่าวนะ หรือผมแค่คิดทะลึ่งไปเท่านั้น แต่แทบทุกครั้งที่ผมสัมผัสตัวเธอเมื่อผมไล้มือผ่านตัวเธอไปแบบแผ่วเบา ช้าๆ และค่อยๆหนักขึ้น มันมักจะปรากฏเสียงลมหายใจหนักๆสั่นๆของเธอตามหลังมาทุกครั้งไป และเมื่อผมส่งสายตาไปมองตามเสียงนั้น เธอจะเขินอายแทบทุกครั้ง
หลังจากเราสัมผัสกันใก้ลชิดกันมากขึ้นเธอก็เริ่มเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น พอเสียงกดชัตเตอร์เริ่มดังถี่มากขึ้น กลายเป็นเหมือนผมกำลังถูกดึงความรู้สึกไปที่สายตาของเธอที่มองและรู้สึกผ่านเลส์กล้อง สายตาของภาพหลังเลนส์มันช่างเศร้าแต่ก้อแฝงความเย้ายวลใจบางอย่างแบบบอกไม่ถูก จากภาพที่นิ่งคราวนี้กลับมาสั่นไหวอีกครั้งนึง แต่ภาพที่สั่นคราวนี้ไม่ได้มาจากนางแบบหากแต่มาจากมือของผมเองที่มันเริ่มสั่นเบาๆ จนผมต้องเดินไปหยิบน้ำมากรอกผ่านลำคอที่แห้งผาก น้องอาจจะสังเกตอาการของผมได้เลยเผลอยิ้มออกมาข้างๆริมฝีปากของเธอ หลังจากนั้นผมก้อเริ่มนวดให้น้อง ปรากฏว่าเมื่อเธอหันหลังเธอเริ่มคุยมากขึ้น เหมือนเธอน่าจะแพ้อาการจ้องตาจากคู่สนทนา คราวนี้เธอดูเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น หลังจากนั้นบรรยากาศก้ออบอวลไปด้วยมิตรภาพที่ดี รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และแน่นอนเสียงลมหายใจของคนสองคนที่สลับกันไปมาจนบางครั้งก้อผสมปนเปเป็นเสียงที่ผิดคีย์แต่ก้อน่าฟัง หลังจากนั้นเธอทำให้ผมรู้สึกดีใจกับคำพูดของเธอที่ที่พูดกับผมว่า “หนูไม่รู้สึกยิ้มและมีความสุขแบบนี้มาซักพักนึงแล้ว ดีใจที่หนูได้เจอพี่ในวันนี้นะคะ” คำพูดที่แผ่วเบาและเรียบง่ายแต่มันทำให้ผมยิ้ม และยิ้มทุกครั้งที่เธอทักพูดคุยมาหลังจากวันนั้น และผมเข้าใจเธอมากขึ้นว่าเธอไม่ใช่แค่ผู้หญิงขี้อายหากแต่เป็นผู้หญิงที่ขี้เกรงใจ และให้เกียรติผู้อื่นเป็นที่สุด ทำไมน่ะเหรอ เพราะทุกครั้งที่ผมออนไลน์ เธอจะไม่ทักผมก่อนเลย แต่เมื่อผมทักเธอ เธอจะตอบกลับมาอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องไม่ขาดสาย เหมือนคนซักคนที่รอคอยการสนทนากับคู่สนทนาที่รู้ใจ จนมีครั้งนึงผมต้องเอ่ยปากออกไปว่า “หนูทักพี่ได้นะไม่ต้องเกรงใจ” เธอตอบกลับมาว่า “หนูกลัวทำให้พี่รำคาญ หนูทักพี่ได้ใช่มั้ยคะ” ผมรู้สึกเบาๆในใจตัวเองว่าขนาดเราไม่ได้เจอกันเธอก้อทำให้ผมอมยิ้มได้จริงๆ