Welovegig | Website สำหรับคนอยากมีกิ๊ก > คุยเล่น ส่งการบ้าน ระบายความเศร้า

เมื่อเจอป้ายหน้าร้านค้าเขียนไว้ว่า"ถ้าคิดจะต่ออย่าเดินเข้ามา"

<< < (2/4) > >>

OZLO:
ถามใจเราเองว่าเมื่อเราเป็นคนซื้อเสื้อผ้าส่วนใหญ่ก็คงคิดคล้ายๆกันครับ ชุดนี้แม้จะสวยแค่ไหน อยากได้แค่ไหน มีตังค์แค่ไหนก็ไม่อยากซื้อเพราะแค่แว่บแรกที่เห็นป้ายก็รู้สึกเหมือนโดนไล่แล้ว
หลักการตลาด step by step
1. ทำอย่างไรให้ลูกค้าเดินเข้ามาในร้าน
2. ลูกค้าเดินเข้ามาในร้านแล้ว ทำอย่างไรที่จะปิดดีลได้ การเจรจาธุรกิจย่อมเกิดการเจรจาต่อรอง แม้การต่อรองจะอยู่ในราคาขายที่ผู้ขายรับไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องติดป้ายไม่ให้ลูกค้าเข้ามาในร้าน เพราะหลายปัจจัย ลูกค้าอาจเปลี่ยนใจเพราะชอบสินค้าสวยจริง ลูกค้าอาจเปลี่ยนใจเพราะแม่ค้าพูดจาดีเคมีเข้ากัน หรืออยากได้แต่งบไม่ถึงแค่ไหนได้ เหล่านี้คือโอกาสในการปิดดีลที่มีความเป็นไปได้ แต่ถ้าลูกค้าไม่เดินเข้ามาในร้านความเป็นไปได้ในการปิดดีลคือ 0%
3. หากลูกค้าตัดสินใจซื้อแล้วทำอย่างไรให้ลูกค้าซื้อซ้ำ ต้นทุนทางการตลาดในการหาลูกค้าใหม่ๆมากกว่าการให้ลูกค้าเดิมพึงพอใจสูงมาก เปรียบเทียบง่ายๆ คือต้นทุนโฆษณา100บาทหากต้องหาลูกค้าใหม่จนได้ปิดดีลอาจต้องใช้ถึง80บาทแต่ต้นทุนในการกระตุ้นให้ลูกค้าที่พึงพอใจสินค้าใช้ซ้ำใช้เพียงประมาณ20บาท ดังนั้นการรักษาลูกค้าเดิมมีต้นทุนน้อยกว่าหาลูกค้าใหม่มาก
จากลำดับที่1-3จนปิดดีลนั้น ข้อ1คือโจทย์ใหญ่ที่จะต้องสร้างให้เเกิดโอกาสดังนั้นการติดป้ายว่า "ถ้าต่ออย่าเดินเข้ามา" แม้ใจจริงเราจะคิดเช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องเขียนเป็นป้าย เพราะโอกาสในการปิดดีลจะเข้ามาในช่วงNegotiationข้อ2 และถ้าหากพิจารณาว่าทำไม่ได้คิดว่าเสื้อผ้าชุดนี้มีตัวเดียวในโลกตั้งราคาเท่าไหร่ก็ต้องซื้อ เมื่อคุณเองเป็นผู้ซื้อเสื้อผ้าชุดนั้นบอกได้เลยว่าคุณเองก็ไม่คิดเช่นนั้นกระมังครับ
Remark หลักการตลาดพื้นฐานใช้ได้กับสินค้าทุกชนิดที่มีสินค้าทดแทนกันได้

pop2000:
ตอบ. ข้อ ง.ครับ

สมัยก่อนผมอาจไม่ต่อครับ.  แต่ยุคนี้หลายสิ่งหลายอย่างบางทีไม่สมเหตุสมผลทั้งๆที่ไร้แบรนด์เนม. ขนาดของแบรนด์เนมระดับโลกยังมีลดราคาสารพัด ทำไมเราจึงไม่เลือกซื้อล่ะ ต่อให้มีเงินยิ่งควรจะต่อครับซื้อแพงจะดูโง่ไร้กึ๋นไม่มีเพาเวอร์ไปซะอีก

ครั้งนึงนานมาแล้วผมไปดูนาฬิกาแบรนด์ธรรมดาในห้าง ปรากฎว่าเจอรุ่นพี่ผ่านมาเลยทักคุยกันตามประสา. พอเราบอกกำลังดูนาฬิกาอยู่เท่านั้นแหละ เขาเรียกพนักงานมาสอบถามเลยรู้ว่าแกขาประจำ ต่อนู่นนี่ในห้างนะครับ สรุปลดไป 38% แถมถ้ารูดบัตรแคชแบ๊กในบัตรคืนอีก5%. จากนั้นเลยรู้ว่าแม้ในห้องใหญ่ก็ต่อได้. พนักงานทุกคนมีส่วนลดให้หมดถ้าไม่ถามก็ไม่บอก.

หลังจากนั้นผมต่อแหลก ในห้างไม่ลดไม่ซื้อ.  ยกเว้นในซุปเปอร์ถ้าเป็นท๊อปก็มีส่วนลด และบัตรลดจาก one card.  ผมเคยซื้อทีวี 64" ซัมซุงตัวท๊อปตอนนั้น จากราคาแสนกว่า เหลือราคา6หมื่นกว่า แถมแคชแบ๊ก5% และยังแถมเก้าอีlazy boy มูลค่า2หมื่นกว่ามาด้วยอีกตัว คุ้มเหมือนแจกฟรี.  โดยการรวมกลุ่มเพื่อนไปต่อลองกับซัมซุงซื้อคนละเครื่อง

strawberry shortcake:
เฉยๆค่ะ ถ้าเป็นแบบที่อยากได้ก็ซื้อ ไม่อยากได้ก็ผ่านค่ะ
ไม่ได้เซนซิทิฟกับข้อความขนาดนั้น แต่ก็ดูแม่ค้าว่าหน้าตาคำพูดรับแขกรึเปล่ามากกว่าค่ะ
ไม่มีตัวเลือกเพิ่มเนอะ ว่าถ้าสนใจก็ดูตามปกติ ไม่ได้คิดอะไรมาก

ปกติไม่ต่อของอยู่แล้ว เห็นใจคนขาย
นอกจากซื้อหลายชิ้นในทีเดียว ก็ถามหลายชิ้นลดได้ไหม ส่วนมากเค้าจะลดให้เองค่ะ
แต่ถ้าชิ้นเดียว ไม่เคยต่อเลย ถ้าสูงเกินจริงไป หรือดูไม่คุ้ม ก็ไปดูที่อื่นแทน
ยกเว้นถ้าที่เที่ยวบางทีที่ราคาของตั้งเป็นธรรมเนียมว่าต้องต่อเยอะๆ เป็นอีกเรื่องค่ะ

A WayBackIntoLove:
แล้วแต่มุมมองครับ

มันก็เป็นวิธีการสกรีนลูกค้าอย่างหนึ่ง
เพราะร้านนี้เค้าเน้นลูกค้าเฉพาะกลุ่ม
หากเราไม่ใช่กลุ่มลูกค้าของเค้า
ก็มองผ่าน ๆ ไปครับอย่าซีเรียส   **26**

ถ้าเค้าขายสินค้าไม่ได้ เดี๋ยวก็คงหาวิธีการใหม่เอง
ทุกวันนี้ตลาดเป็นของผู้ซื้อ ไม่ใช่ของผู้ขาย
แต่ก็มีสินค้าบางอย่าง ที่ผู้ซื้อแย่งกันซื้อ
แถมยอมจ่ายแพงกว่าราคาป้ายด้วยซ้ำ   **08**

 

mzazaza2015:
 **36** สำหรับผม จะลองเดินเข้าไปดูนะครับ เพราะยังไม่รู้ว่าชอบมากขนาดไหน แต่ถ้าชอบมาก แม้ราคาจะสูง ก้ออาจจะลองพิจารณาตามสถานการณ์ และลองเสียงเจรจาดูครับ เพราะบางครั้งคนขายก้ออาจจะคิดว่าเสื้อนี้มันเหมาะกับคุณ จนอาจจะไม่สนใจเรื่องราคาที่จะขายมากนัก อันนี้มุมมองส่วนตัวนะครับ และถ้าเป็นแบบนั้น คุณจะเดินเข้ามาในร้านนี้อีก เมื่อคุณเดินผ่านมันครับ  **36** ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version