ผู้เขียน หัวข้อ: เศียวแต่ไม่สุข หรือ สุขแต่ไม่เศียว the best between 2 devils  (อ่าน 1729 ครั้ง)

neminem

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 39
  • People Like This 6
หลังจากที่ต้องทำงานที่บ้านมาปีกว่าๆ สิ่งที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับผมในชีวิตนี้ก็เกิดขึ้นได้ ... ผมติดซีรี่ย์เกาหมีงอมแงม

ส่วนหนึ่งก็เพราะเนื้อเรื่องที่กระชับ ผูกเรื่องได้น่าติดตาม เดินเรื่องเร็ว ไม่มีบทไร้สาระที่ไม่จำเป็นมากนัก และ ที่ปฏิเสธไม่ได้คือ นางเอกสวยม๊วกกๆๆๆๆ (เอา "ๆ" ไปอีกล้านตัว :) )

ช่วงนี้บังเอิญที่ได้ดูซีรี่ย์ 2 เรื่องที่การเดินเรื่องของตัวเอกมีลักษณะที่ตรงกันข้ามอย่าสิ้นเชิง ที่สะท้อนความคิดอะไรบางอย่างที่อยากจะเอามาแบ่งปันเม้าส์มอย

เรื่องหนึ่ง พระเอกเป็นโรคที่ไร้ความรู้สึกทางกาย (ชื่อโรคอะไรช่างมัน ชื่อโรคยาวมาก) ไม่รู้สึกทั้งภายนอกร่างกาย และ ภายในกาย เช่น ไม่รู้สึก เจ็บปวด ร้อน หนาว ไม่รู้รสชาดอาหาร ต่อให้ไส้ติ่งแตกก็ไม่รู้ตัวว่างั้นเถอะ แต่ความรู้สึกทางอารมณ์และจิตใจนางเต็มร้อย พูดง่ายๆคือ เอากับนางเอกแล้วไม่เศียว (แต่นางเอกสวยโคตรๆ หุหุ)

ที่ตลกคือ ตามพล๊อตเรื่อง พระเอกเป็นแพทย์วิสัญญีตัวกลั่นที่เชี่ยวชาญด้านการบำบัดความเจ็บปวด (pain management) เอาน่า ซีรี่ย์ก็คือซีรี่ย์ (แม้ตอนท้ายเรื่องความพิการพระเอกจะดีขึ้น แน่นอนว่าก็เพราะนางเอก)

อีกเรื่องหนึ่ง พระเอกเป็นโรคไร้ความรู้สึกด้านอารมณ์ (แน่นอนชื่อโรคยาวเหยียดภาษาอะไรก็ไม่รู้) ไม่สามารถรับรู้อารมณ์ทางใจ นางเฉยๆไปซะทุกเรื่อง เหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่มีความรู้สึกทางใจ รักไม่เป็น เกลียดไม่เป็น ชอบไม่เป็น ถ้าใครเป็นแฟน Startrek ตอน The next generation นางเทียบเคียงได้กับแอนดรอยที่ชื่อ เดต้า แต่นางก็มีความรู้สึกทางกายปกติเหมือนคนทั่วไป พูดง่ายๆตรงข้ามกับพระเอกคนแรก

พล๊อตเรื่องที่สองนี่สมเหตุผลกว่าเรื่องแรกเพราะ นางเป็นนายตำรวจสายสืบ ซึ่งงานเหมาะกับความพิการของนาง แบบว่าการสืบสวนโดยมากต้องใช้ หลักการ เหตุผล ตรรกะ ไม่เอาความรู้สึกอารมณ์ส่วนตัวเข้าไปอีรุงตุงนังกับคดี

พูดง่ายๆพระเอกคนที่สองนี่เอากับนางเอกแล้วมีความสุขแต่ไม่เศียว (โอ้ย จะบ้าตาย)

ดูๆไปก็อดคิดไม่ได้ว่า เอ๊ะ แล้วแบบไหนมันจะดีกว่าถ้าชาตะบังคับให้ต้องเลือกสักอย่างหนึ่ง ... the best between 2 devils

เศียวแต่ไม่สุข หรือ สุขแต่ไม่เศียว

ปราชญ์ท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า การที่ร่ายกายเรายังมีความรู้สึกทางกาย (sensation - เวทนา) เป็นหลักฐานว่าเรา (หรือ อย่างน้อยส่วนนั้นของเรา) ยังมีชีวิต หรือ ในทางกลับกัน ชีวิตจะมีความหมายอะไรถ้าไร้ซึ่งความรู้สึกทางกาย เพราะความรู้สึกทางกายนี่เองที่ทำให้เรามีความต้องการมันอีก ถ้าเป็นความรู้สึกทางกายที่ดี หรือ ไม่ต้องการมันอีก ถ้าเป็นความรู้สึกทางกายที่เราไม่ชอบ

ถ้าให้ผมแปลเป็นภาษาคณิตศาสตร์แบบหยาบๆก็ประมาณว่า ... ความรู้สึกทางกาย + ความต้องการหรือปฏิเสธความรู้สึกทางกายนั้น = ชีวิต

ในความหมายของปราชญ์ท่านนี้ พระเอกหน้าคมกรามโตวิสัญญีแพทย์ของเราก็เข้าข่ายไม่มีชีวิต เพราะนางเศียวไม่เป็น เมื่อเศียวไม่เป็น ก็เลยไม่มีความต้องการอยากเศียวอีก ก็หมดทุกข์ไปอีกแบบ 555 (สงสารนางเอกจุงเบย)

อย่างไรก็ตาม ในท้ายเรื่องพระเอกก็เริ่มดีขึ้น เศียวเป็นว่างั้น แน่นอนว่าฝีมือนางเอกสุดสวย พระเอกเริ่มมีครบ คือ เริ่มมีเวทนา และ มีอารมณ์ (เศียวดีจัง จะเอาอีก จะเอกอีก  ประมาณนั้น) กลายเป็นว่า นางเอกทำให้พระเอกมีชีวิต (และแน่นอนว่า ทำให้พระเอกมีความทุกข์ เพราะชีวิตกับความทุกข์ มันเป็นฝาแฝด ธรรมชาติขายแพ็คคู่กันให้เราเสมอ)

ในทางกลับกัน ... พระเอกตำรวจนักสืบหน้ามนก็ถือว่าไร้ซึ่งชีวิตเช่นกัน เพราะถึงนางจะรับรู้เวทนาทางกายได้ แต่นางก็ไร้ซึ่งความรู้สึกทางใจทางอารมณ์ว่า ชอบความรู้สึกนั้น(แล้วอยากได้เพิ่มอีก เอาอีกๆ) หรือ ไม่ชอบความรู้สึกนั้น (ไม่เอาๆไปไกลๆ) คือ เอากับนางเอกแล้วนางเศียวนะ แต่นางไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายอะไรกับความเศียว นางก็เลยไม่รู้สึกอยากเศียวอีกหน (สงสารนางเอกอีกเช่นกัน) ... เออ แปลกดี แต่นางก็หมดทุกข์ไปได้เหมือนกันแฮะ

เช่นเคย ซีรี่ย์ก็คือซีรี่ย์ ตอนท้ายเรื่องความพิการพระเอกนักสืบก็ดีขึ้น คือ เศียวแล้วรู้สึกได้ว่า "สุข" ก็เลยเหมือนได้เกิดมี "ชีวิต" เพราะพอรู้สึกได้ว่าสุขก็จะเกิดอาการ เอาอีก kuจะเอาอีก 555 (คือ เกิดทุกข์นั่นแหละ) ... แน่นอนว่าก็เพราะฝีมือนางเอก อิอิ

ตัดสินใจไม่ถูกเลยจริงๆว่าจะเลือกอะไรถ้าสวรรค์(หรือนรก)บังคับให้ต้องเลือก ... 555 :)

... neminem